วันพุธที่ 28 ธันวาคม พ.ศ. 2554

การเงิน - การลงทุน : การเงินส่วนบุคคล Invest Intrend In 2012

ติดตามข้อมูลข่าวในการลงทุนทองคำได้ที่ 


Fundamentals รวบรวม 6 ช่องทางลงทุนที่น่าสนใจในปี2012 มาฝากกัน จะได้รู้ว่าลงทุนปีหน้าอะไรที่ลงทุนแล้วอินเทรนด์
“เวลาของการลงทุน” ในแต่ละปีเคลื่อนผ่านไปอย่างรวดเร็ว จากปีที่ตลาดทุนทั่วโลกดำดิ่งในปี 2008 นี่ก็ให้หลังมา 3 ปี แล้ว และกำลังก้าวย่างเข้าสู่ปี 2012 ซึ่งเป็นปีที่ 4 หลังพิษเศรษฐกิจโลกในครั้งนั้น
ที่ผลกระทบยังคงไม่หมดไปและมีผลกระทบจวบจนปัจจุบันและคาดว่าจะต่อเนื่องไปเป็นปัจจัยที่กดดันบรรยากาศการลงทุนในปี 2012 นี้ด้วยเช่นกัน
ในปี 2012 หรือ ปี “มังกรน้ำ” นี้ ในท่ามกลางเศรษฐกิจโลกที่ยังคงเปราะบาง ปัญหาหนี้ในยุโรปที่แผนยังนำไปสู่การปฏิบัติไม่ได้และเศรษฐกิจจะเข้าสู่การถดถอยค่อนข้างแน่นอน สหรัฐเองที่ปัญหาตัวเองก็ยังมีอยู่ ตลอดจนจีนเองที่คาดว่าเศรษฐกิจชะลอตัวลงในปี 2012 นี้ ด้วยเช่นกัน
ปัจจัยเสี่ยงที่มีในโลกการลงทุนยังคงปกคลุมทุกสินทรัพย์การลงทุนอย่างต่อเนื่อง แล้วสินทรัพย์ไหนจะเป็นการลงทุนที่ยังคง น่าลงทุนที่เกาะไปกับกระแสการลงทุนในปี 2012
Fundamentals สัปดาห์นี้ได้รวบรวมเอา 6 ช่องทางลงทุนที่น่าสนใจในปี2012 มาฝากกัน จะได้รู้ว่าลงทุนอะไรที่อินเทรนด์
………………..
@ ตราสารหนี้ตลาดเกิดใหม่ยังไฉไล
เกี่ยวกับเรื่องนี้ “พงค์ธาริน ทรัพยานนท์” หัวหน้าฝ่ายตราสารหนี้-ประเทศไทย บลจ.อเบอร์ดีน มองว่า “ตราสารหนี้ตลาดเกิดใหม่” ยังจะเป็นทางเลือกการลงทุนที่สามารถสร้างผลตอบแทนให้กับผู้ลงทุนได้ในปี 2555 นี้ แต่นักลงทุนต้องไม่ลืมว่าตราสารหนี้ตลาดเกิดใหม่เองนั้นถูกจัดกลุ่มอยู่ในประเภทของ “สินทรัพย์เสี่ยง” แต่ก็เป็นสินทรัพย์ที่ได้รับความสนใจลงทุนจากนักลงทุนทั่วโลกอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะหลังจากที่สถาบันจัดอันดับ Standard & Poor’s (S&P) ปรับลดอันดับเครดิตของสหรัฐลงเหลือ AA+ จากเดิม AAA หลังจากนั้นมีการปรับเพิ่มเครดิตประเทศในตลาดเกิดใหม่ขึ้น 13 ประเทศ นั่นทำให้ตราสารหนี้ที่ออกโดยบริษัทและรัฐบาลในกลุ่มประเทศในตลาดเกิดใหม่นั้นเป็นตัวเลือกที่น่าสนใจเพราะประเทศเหล่านี้มีอัตราส่วนหนี้สินต่อผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (GDP) อยู่ในระดับต่ำและมีการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจในระดับสูงในขณะที่อัตราผลตอบแทนจากตราสารหนี้นั้นก็อยู่ในระดับสูงกว่ากลุ่มประเทศที่พัฒนาแล้ว โดยกองทุนของบริษัทที่ลงทุนในพันธบัตรตลาดเกิดใหม่ในช่วงที่ผ่านมาสามารถสร้างผลตอบแทนได้เฉลี่ย 6-8% ต่อปี และในปี 2555 ก็คาดว่ายังสามารถที่จะสร้างผลตอบแทนในระดับค่าเฉลี่ยนี้ได้อยู่ต่อเนื่องเช่นเดียวกัน
“ปัจจุบันความกังวลในเรื่องเงินเฟ้อในประเทศตลาดเกิดใหม่ได้หมดไปแล้ว ดังนั้นความกังวลในเรื่องดอกเบี้ยขาขึ้นจึงลดลง โดยภาพรวมดอกเบี้ยของตลาดเกิดใหม่จะเริ่มทรงตัวแล้วยังมีโอกาสที่จะปรับลดลงได้ในอนาคต จากความกังวลเรื่องการเติบโตทางเศรษฐกิจของรัฐบาลตลาดเกิดใหม่ที่คาดว่าอาจจะได้รับผลกระทบจากการที่เศรษฐกิจของกลุ่มประเทศหลักชะลอตัวไม่ว่าจะเป็นสหรัฐหรือยุโรปก็ตาม อย่างไรก็ตามส่วนต่างราคาตราสารหนี้กลุ่มตลาดเกิดใหม่ยังอยู่ในระดับที่น่าสนใจและมีความเสี่ยงในการผิดชำระหนี้ที่ต่ำ และปัจจุบันอันดับเครดิตของประเทศในกลุ่มตลาดเกิดใหม่ก็มีแนวโน้มปรับตัวดีขึ้นกว่าในอดีตมากซึ่งจะเพิ่มความน่าสนใจให้กับตราสารหนี้ตลาดเกิดใหม่มากขึ้นในอนาคต”
@ หุ้นไทยพราวเสน่ห์
เกี่ยวกับเรื่องนี้ “มณฑล จุนชยะ” ผู้จัดการกองทุนอาวุโส บลจ.ธนชาต บอกว่า ปี 2555 ภาพรวมของตลาดหุ้นไทยเองยังคงมีความน่าสนใจอยู่ เป็นความน่าสนใจที่มาจากปัจจัยแวดล้อมด้วยเพราะดอกเบี้ยในประเทศก็ยังต่ำและไม่ขึ้นแน่ในช่วง 6 เดือนข้างหน้า การจะไปหาการลงทุนที่ให้ผลตอบแทนที่สูงได้นั้นก็ยังต้องเป็นหุ้นและจากสถิติในอดีตที่ผ่านมาทั้งในและต่างประเทศก็ยืนยันตรงกันว่าการลงทุนในหุ้นให้ผลตอบแทนโดยเปรียบเทียบที่ดีกว่าการลงทุนในตราสารหนี้หรือเงินฝากอยู่แล้ว ดังนั้นหุ้นไทยเองก็ยังคงน่าสนใจอยู่แม้ว่าปัจจุบันราคาหุ้นไทยจะไม่ได้ถูกเมื่อเทียบกับประเทศอื่นในภูมิภาค แต่ด้วยตัวเลขการเติบโตของกำไรบริษัทจดทะเบียนในปี 2555 ที่ประมาณ 12-13% ที่สัดส่วนราคาต่อกำไรสุทธิ (P/E) ที่ประมาณ 12 เท่า จะได้เป้าดัชนีตลาดหุ้นไทยในปี 2555 ที่ประมาณ 1,160-1,170 จุด โดยประมาณ คิดเป็นผลตอบแทนประมาณ 16-17% หากมองจากฐานดัชนี 1,000 จุด ก็ยังถือเป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่น่าสนใจสำหรับนักลงทุนไทยเช่นเดียวกัน โดยเฉพาะปัจจัยบวกจากการลงทุนภาครัฐและเอกชนเพื่อซ่อมแซม สร้างโครงสร้างพื้นฐานใหม่หลังจากน้ำท่วมแล้ว
“ปี 2555 เศรษฐกิจโลกยังคงเปราะบาง สภาพคล่องที่ล้นโลกยังมีอยู่เหมือนเดิม เพียงแต่เงินจะเลือกวิ่งไปที่ไหนโดยเปรียบเทียบระหว่างที่มีความเสี่ยงมากกับที่มีความเสี่ยงน้อย เพราะทุกจุดบนโลกล้วนมีความเสี่ยงไม่แตกต่างกันเพียงแต่อาจจะมากหรือน้อยแตกต่างกันไปบ้างเท่านั้นเอง สภาพตลาดหุ้นไทยเองก็คงจะมีความผันผวนเช่นเดียวกับในปี 2554 หุ้นยังเป็นทางเลือกที่ให้ผลตอบแทนที่ดีอยู่แต่คุณจะเลือกไปลงทุนในหุ้นภูมิภาคไหนคงต้องเปรียบเทียบในเรื่องของความเสี่ยงและผลตอบแทนเอา ซึ่งหากมองโดยภาพเช่นนี้หุ้นในตลาดเกิดใหม่รวมทั้งไทยก็ยังเป็นทางเลือกที่น่าสนใจกว่าหุ้นในฝั่งตะวันตกที่มีปัญหาอยู่”
เช่นเดียวกับ “ประภาส ตันพิบูลย์ศักดิ์” ประธานเจ้าหน้าที่การลงทุน บลจ.กรุงศรี ที่มองว่า การลงทุนในหุ้นไทยยังคงมีความน่าสนใจในปี 2555 หากมองในเชิงมูลค่าของตลาดหุ้นไทยที่อัตราการเติบโตกำไรบริษัทจดทะเบียนประมาณ 10% สัดส่วนราคาต่อกำไรสุทธิ (P/E) ก็จะอยู่ประมาณ 10 เท่า กลางๆ ใกล้เคียงกับ P/E ของประเทศอื่นในภูมิภาคถือว่า “ไม่ถูก” และ “ไม่แพง” โดยเป้าหมายดัชนีในปีหน้าก็จะอยู่ประมาณ 1,150-1,200 จุด โดยระหว่างปีมีโอกาสที่จะเห็นตลาดหุ้นไทยแกว่งในกรอบ 250-300 จุด ยังคงมีอยู่เป็นปกติเช่นเดียวกับทุกปี
“ดังนั้น ถ้าจังหวะที่ตลาดหุ้นปรับตัวลงมาแรงแถวบริเวณ 900 จุด ก็มีโอกาสที่จะปรับตัวขึ้นไปบริเวณ 1,150-1,200 จุด ได้เช่นกัน เพราะกรอบการเคลื่อนไหวระดับนี้ถือเป็นเรื่องปกติสำหรับตลาดหุ้นไทย”
@ กองทุนอสังหาฯ ปันผลสม่ำเสมอ
ด้าน “รัชดา ตั้งหะรัฐ” ผู้อำนวยการอาวุโส หัวหน้าฝ่ายวางแผนการลงทุน-ส่วนตัวแทนขาย 1 สายงานพัฒนาธุรกิจ บลจ.ยูโอบี (ไทย) แนะนำว่า “กองทุนอสังหาริมทรัพย์” ถือเป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่สร้าง “ผลตอบแทนที่ดีสม่ำเสมอ” ในระยะยาวให้กับผู้ลงทุนได้ โดยปัจจุบันกองทุนอสังหาริมทรัพย์ในอุตสาหกรรมให้ผลตอบแทนค่าเช่าในรูปเงินปันผลเฉลี่ย 6-7% ซึ่งผลตอบแทนในระดับนี้เงินฝากให้ไม่ได้แน่นอน แต่จุดด้อยที่สำคัญคือเรื่องสภาพคล่องของกองทุนเอง ซึ่งนักลงทุนหากมองกองทุนอสังหาริมทรัพย์จัดอยู่ในกลุ่มเดียวกับการลงทุนในตราสารหนี้ ที่จะให้ผลตอบแทนที่สม่ำเสมอออกมาในช่วงระยะเวลาที่ลงทุนนั้น ก็สามารถจะนำไปจัดสัดส่วนการลงทุนผสมไว้ในพอร์ตได้เช่นกัน เพื่อเพิ่มโอกาสในการสร้างผลตอบแทนที่ดีให้กับพอร์ตการลงทุนของตัวเอง เพราะหากนักลงทุนมุ่งหวังแต่ดอกเบี้ยเงินฝากหรือลงทุนแต่กองทุนตราสารหนี้ระยะสั้นแบบมีอายุ (Term Fund) แล้วก็รอนำเงินไปลงทุนใหม่อยู่เรื่อยๆ นั้น ในบางครั้งก็อาจจะทำให้ “สูญเสียโอกาสในการลงทุน” เพื่อที่จะมีโอกาสได้รับผลตอบแทนที่ดีกว่าไปเช่นกัน
“โดยเฉพาะในช่วงที่แนวโน้มดอกเบี้ยทั่วโลกยังทรงตัวในระดับต่ำ แม้แต่ในประเทศไทยเองก็ตาม และในกรณีที่ดอกเบี้ยปรับตัวขึ้นก็จะไม่ขึ้นไปถึงระดับ 6 - 7% แน่นอน นอกจากนี้ในกองอสังหาริมทรัพย์ที่ลงทุนในกรรมสิทธิ์ (Free Hold) ผู้ลงทุนก็ยังมีโอกาสที่จะได้รับส่วนเพิ่มมูลค่าเงินลงทุน (Capital Gain) ในกรณีที่มีการขายอสังหาริมทรัพย์นั้นมีกำไรเพื่อปิดกองทุนได้อีกทางหนึ่งด้วย”
@ ทองคำล้ำค่าเสมอ
เรื่องนี้ “พวรรณ์ นววัฒนทรัพย์” รองประธานกรรมการ บจ.วายแอลจี บูลเลี่ยน อินเตอร์เนชั่นแนล มองว่า ในช่วง 5 ปี ที่ผ่านมา ทองคำให้ผลตอบแทนเฉลี่ย 15-25% ต่อปี และในปี55 ผลตอบแทนในระดับค่าเฉลี่ยก็ยังเป็นสิ่งที่สามารถหวังได้จากการลงทุนในทองคำอยู่นั่นเอง โดยทองคำมีโอกาสจะขึ้นไปทดสอบระดับ 2,000-2,200 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ ในปี 2555 ด้วย และมองกรอบแนวรับเฉลี่ยไว้ที่ระดับ 1,500 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ ในกรณีที่แย่สุดก็ไม่น่าจะหลุดแนวรับนี้ลงไป หรือในกรณีที่หลุดลงไปจริงก็จะเกิดขึ้นเพียงชั่วระยะเวลาสั้นเท่านั้นเพราะเป็นลักษณะของการผิดพลาดทางเทคนิค (Technical Error) มากกว่า เพราะด้วยพื้นฐานของทองคำเองไม่ได้มีอะไรเปลี่ยนไปเลย มุมมองนักวิเคราะห์ทั่วโลกยังไม่มีการปรับเป้าหมายราคาทองคำลงมาแต่ประการใด เพียงแต่ในช่วงปลายปี 2554 ราคาทองคำปรับตัวลงมาลึกมากจนเข้าใกล้ระดับจุดต่ำสุดเดิมที่บริเวณ 1,534 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ ก็เป็นผลจากการที่คนหันไปถือดอลลาร์สหรัฐอีกครั้งหลังสหรัฐไม่มีมาตรการกระตุ้นเชิงผ่อนคลาย (QE-3) ออกมาและปัญหาหนี้ในยุโรปเอง กดดันตลาดสินทรัพย์เสี่ยงทั่วโลกให้ปรับตัวลดลง
โดยภาพของการเคลื่อนไหวของราคาทองคำในปี 2555 จะมีความผันผวนคล้ายกับช่วงครึ่งหลังของปี 2554 จากปัจจัยเสี่ยงในต่างประเทศที่ยังคงอยู่ทั้งปัญหาของยุโรปเองตลอดจนสหรัฐที่เศรษฐกิจอาจจะกลับมามีปัญหาได้เช่นกัน และโอกาสที่สหรัฐจะมีมาตรการอะไรออกมากระตุ้นเศรษฐกิจก็ยังมีอยู่ และนั่นก็มีโอกาสให้ทองคำมีโอกาสวิ่งทะยานเหมือนช่วงกลางปี 2554 ที่ขึ้นไปทำจุดสูงสุดที่ระดับ 1,920 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ ด้วยการปรับขึ้นกว่า 600 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ หรือประมาณ 30% ในช่วงนั้น ก็ยังมีโอกาสเกิดขึ้นเช่นเดียวกัน
“จากสถิติช่วงเดือนม.ค. ราคาทองมักจะต่ำสุดแล้วจะเริ่มปรับตัวขึ้นหลังจากนั้น ในปี 2555 ก็คาดว่าหลังเดือนม.ค. ไปแล้วน่าจะเห็นการฟื้นตัวของราคาทองคำได้เช่นกัน อย่างไรก็ตามไม่แนะนำให้ลงทุนในทองคำมากกว่า 50% ของพอร์ตการลงทุน เช่นกัน เพราะถือเป็นการลงทุนเสริมเพื่อสร้างผลตอบแทนเพิ่มให้กับพอร์ตการลงทุนของตัวเองแล้วควรจะมีการแบ่งเงินเพื่อจะทยอยเข้าลงทุนด้วยเช่นกัน”
@ กองทุนประหยัดภาษีได้ฟรีๆ ห้ามทิ้ง
ขณะที่ “ธีรพันธุ์ จิตตาลาน” กรรมการบริหารและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บลจ.ฟินันซ่า มองว่า การลงทุนที่ดีอย่างน้อยควรให้ผลตอบแทนที่ “ชนะเงินเฟ้อ” ด้วยไม่เช่นนั้นในระยะยาวความมั่งคั่งของเงินจะลดลง ซึ่งหากมองเงินเฟ้อในไทยเฉลี่ยในระยะยาวประมาณ 3% การลงทุนที่ไม่ควรละเลยหรือมองข้ามไปก็คือ “กองทุนประหยัดภาษี” ไม่ว่าจะเป็น “กองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ (RMF)” ที่มีหลายนโยบายการลงทุนเพื่อให้นักลงทุนเลือกตามความสามารถในการรับความเสี่ยงของตัวเองและที่สำคัญสามารถสับเปลี่ยนนโยบายการลงทุนของกองทุน RMF ให้เหมาะสมกับสภาวะการลงทุนของตลาดในแต่ช่วงเศรษฐกิจได้อีกด้วย หรือ “กองทุนรวมหุ้นระยะยาว (LTF)” ที่มีนโยบายลงทุนในหุ้น ก็มีหลายสไตล์ของหุ้นให้เลือกลงทุนเช่นกัน
โดยนักลงทุนกลุ่มที่มีความรู้และมีเวลาอาจจะชอบที่จะติดตามการลงทุนของตัวเองอย่างใกล้ชิดก็สามารถที่จะทำได้ แต่สำหรับนักลงทุนกลุ่มที่ไม่มีเวลาและต้องการ “ประโยชน์ทางภาษี” โดยที่เงินต้นไม่หายและอาจจะได้รับ “ผลตอบแทนในระดับหนึ่ง” ที่น่าพอใจนั้น ก็สามารถจะเลือกลงทุนในกองทุน RMF ที่ลงทุนไม่เสี่ยงมากเช่นตราสารหนี้หรือกองทุนที่มีสไตล์การบริหารที่มุ่งสร้างผลตอบแทนที่เป็นบวก (Absolute Return) ก็ได้
“เพราะหากมองว่าฐานภาษีอยู่ที่ประมาณ 20% คิดเป็นระยะเวลาการลงทุน 5 ปี ก็คิดเป็นอัตราผลตอบแทนเฉลี่ยปีละ 4% เมื่อบวกกับผลตอบแทนจากการลงทุนของกองทุนอีกยังไงผลตอบแทนโดยรวมก็ดีกว่าเงินเฟ้อ ในขณะที่กองทุน LTF เอง เนื่องจากเป็นนโยบายลงทุนในหุ้นจังหวะการเข้าไปลงทุนหากมองผลตอบแทนการลงทุนในระยะสั้นอาจมีความผันผวนบ้าง แต่ถ้ามองผลตอบแทนในระยะยาวจากการลงทุนในหุ้นส่วนใหญ่ก็ยังให้ผลตอบแทนที่ค่อนข้างดี ซึ่งอาจจะเหมาะกับนักลงทุนที่สามารถรับความเสี่ยงได้ ซึ่งปัจจุบันในอุตสาหกรรมก็มีกองทุน LTF ที่ใช้อนุพันธ์มาปิดความเสี่ยงจากการลงทุนในหุ้นให้เลือกลงทุนด้วยเช่นกัน”
@ "ไพรเวทอิควิตี้" ฉีกแนวไม่ซ้ำใคร
“วิชชุ จันทาทับ” ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ Private Equity บลจ.เอ็มเอฟซี บอกว่า อีกทางเลือกที่น่าสนใจสำหรับกลุ่มนักลงทุนที่มีเงินค่อนข้างมาก มีความสามารถในการรับความเสี่ยงได้เพื่อโอกาสในการรับผลตอบแทนที่สูงและมีระยะเวลาในการลงทุนที่ค่อนข้างนานอาจจะ 3-5 ปี ก็สามารถจะมาลงทุนในลักษณะของ “กองทุนนิติบุคคลเอกชน (Private Equity)” ได้เช่นกัน ซึ่งเป็นรูปแบบการลงทุนที่จะนำเงินเพื่อเข้าไปร่วมลงทุนถือหุ้นในบริษัทหรือกิจการที่มีศักยภาพในการเติบโตของธุรกิจสูง โดยจะเข้าไปเป็น “พันธมิตรทางธุรกิจ” ที่จะเข้าไปลงทุนเพื่อปรับปรุงโครงสร้างของกิจการ ซึ่งกองทุนจะต้องเข้าไปลงทุนถือหุ้นในสัดส่วนไม่เกิน 50% ซึ่งในทางปฏิบัติส่วนใหญ่จะเข้าไปถือหุ้นเฉลี่ยประมาณ 10-25% โดยการลงทุนในรูปแบบดังกล่าวนักลงทุนจะคาดหวังผลตอบแทนที่ได้จากการลงทุน (IRR) มากกว่า 20% ต่อปี และคาดหวังว่าในระยะเวลาการลงทุน 3 ปี จะได้ผลตอบแทนประมาณ 60-100%
“โดยการเข้าไปลงทุนของไพรเวทอิควิตี้นี้ ก็มุ่งหวังที่จะนำเอาบริษัทที่ตัวเองเข้าไปลงทุนเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ต่อไป แล้วก็จะขายหุ้นที่ถือนั้นออกมาในราคาตลาด การลงทุนในลักษณะนี้จึงไม่เหมาะกับบุคคลทั่วไปแต่ต้องเป็นกลุ่มนักลงทุนที่มีเงินและมีความสามารถในการรับความเสี่ยงที่ดีพอสมควร แต่ก็ถือเป็นอีกทางเลือกนอกเหนือจากการลงทุนในตลาดหุ้นโดยตรง”
ทั้งหมดนี้ คือ สินทรัพย์การลงทุนที่เหมาะแก่การลงทุนให้อินเทรนด์รับปี 2012 “Invest...Intrend...In 2012” อย่างไรก็ตาม สิ่งสำคัญกว่า คือ “การจัดสรรเงินลงทุน” ไปในสินทรัพย์แต่ละประเภทให้เหมาะสมกับ “ความเสี่ยงที่ตัวเองสามารถจะยอมรับได้” และ “ผลตอบแทนที่ตัวเองคาดหวังด้วย” เพราะนั่นคือเหตุผลเบื้องหลังของผลตอบแทนที่สำคัญยิ่งกว่านั่นเอง

ที่มา กรุงเทพธุรกิจ

ติดตามข้อมูลข่าวในการลงทุนทองคำได้ที่ 

 
เลือก ลงทุนได้ตามชอบ กับฮั่วเซ่งเฮง ได้แล้ววันนี้ กับกองทุนรวมหลากหลาย บลจ. ชั้นนำ เรามีผู้เชียวชาญให้คำปรึกษาอย่างมืออาชีพ โดยโปรโมชั่นจะเป็นไปตามเงื่อนไขของบลจ.ต่างๆ และสามารถซื้อขาย เพื่อเก็บคะแนนสะสมผ่านบัตรเครดิตได้ สนใจติดต่อ คุณเพชร 081 431 8949 หรือ 083 050 0766 อีเมล์ toucht@gmail.com

หมายเหตุ การลงทุนมีความเสี่ยงผู้ลงทุนควรศึกษาข้อมูล และข้อมูลภาษีก่อนการตัดสินใจลงทุน

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

Related Posts Plugin for WordPress, Blogger...