ติดตามข้อมูลข่าวสาร ได้ที่
เตือนวิกฤติหนี้ยุโรป-การเมืองทุบศก.ปีมังกร
เตือนวิกฤติหนี้ยุโรปที่จ่อครบดีล 1.78 แสนล้านยูโรในไตรมาส1-ปัญหาการเมือง กดดันเศรษฐกิจไทยปี"55 ลุ้นนโยบายรัฐอัดเงินปั๊มศก.ดันจีดีพีโต 4-5%
บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนรวมบัวหลวง จำกัด ออกบทวิเคราะห์ Bualuang House View ถึงมุมมองเศรษฐกิจไทยในปี 2555 โดยระบุว่า ในปีนี้เศรษฐกิจโลกจะยังคงเต็มไปด้วยความเสี่ยงด้วยแนวโน้มการเติบโต 3.0 – 4.0% ลดลงจาก 4.0 - 5.0% ในปีก่อน เนื่องจากสหรัฐอเมริกายังไม่มีสัญญาณการฟื้นตัวอย่างชัดเจน และแม้ตัวเลขการว่างงานจะดูดีขึ้นบ้าง แต่หากเป็นไปในอัตราที่เชื่องช้าอย่างนี้ ก็อาจต้องใช้เวลาอีก 9-10 ปี อัตราการว่างงานถึงจะลดลงมาอยู่ในระดับเศรษฐกิจปกติ นอกจากนี้ ยังมีความเสี่ยงสูงที่ยุโรปจะเข้าสู่ภาวะชะลอตัวในระยะยาว เนื่องจากปัญหาหนี้สาธารณะของกลุ่มยูโรที่ยังไม่มีแนวทางแก้ไขปัญหาที่ให้ความเชื่อมั่นต่อตลาดได้ และสิ่งที่ทำไปก็เป็นเพียงการซื้อเวลาเท่านั้น ประเด็นดังกล่าว จึงจะยังคงกระทบต่อภาวะโดยรวมของตลาดต่อไปอีกนาน
ทั้งนี้ กลุ่ม PIIGS (Portugal, Ireland, Italy, Greece และ Spain) มีหนี้ที่จะครบกำหนดชำระรวมกันสูงถึง 1.78 แสนล้านยูโรในไตรมาสแรกของปี โดยทุกสายตาจะมองไปที่อิตาลี เนื่องจากอิตาลีมีภาระหนี้ครบกำหนดชำระสูงสุดถึง 1.13 แสนล้านยูโร ซึ่งเท่ากับร้อยละ 63% ของหนี้กลุ่ม PIIGS ในช่วงไตรมาสแรกทั้งหมด ในขณะที่กรีซมีภาระหนี้ครบกำหนดชำระ 15,890 ล้านยูโรในเดือนมีนาคม ซึ่งสูงกว่าหนี้ที่ครบกำหนดชำระในปีที่แล้วมาก ดังนั้น จึงคาดได้ว่าปัจจัยภายนอกประเทศไทยจะยังคงเป็นปัจจัยเสี่ยงหลักที่สร้างความไม่แน่นอนและเป็นผลลบต่อภาวะเศรษฐกิจไทยในปี 2555 ไปตลอดปี
อย่างไรก็ตาม ไทยยังมีปัจจัยภายในประเทศที่จะช่วยหนุนการเติบโตและช่วยทดแทนการชะลอตัวทางเศรษฐกิจที่จะได้รับผลลบจากปัจจัยภายนอกประเทศ ทำให้คาดว่าเศรษฐกิจไทยจะเติบโตประมาณ 4– 5% ด้วยองค์ประกอบดังนี้
การบริโภคภายในประเทศ มีแนวโน้มเติบโตเพิ่มขึ้น อันเป็นผลจากนโยบายภาครัฐในการปรับขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำ 300 บาท เริ่มต้นใน 7 จังหวัด การจำนำสินค้าเกษตร การปรับขึ้นเงินเดือนให้ข้าราชการที่จบการศึกษาระดับปริญญาตรีเป็น 15,000 บาท และการลดภาษีเงินได้นิติบุคคลจากร้อยละ 30 เหลือร้อยละ 23 เป็นต้น ทั้งหมดนี้จะช่วยให้ประชาชนมีกำลังจับจ่ายใช้สอยเพิ่มขึ้น ซึ่งจะส่งผลต่อการบริโภคภายในประเทศที่ปรับตัวสูงขึ้น ชดเชยกับการส่งออกไปยังกลุ่มยูโรและประเทศสหรัฐฯ ที่มีแนวโน้มลดลง
การลงทุนจากภาครัฐและเอกชน เนื่องจากมหาอุทกภัยทำให้โรงงานหลายแห่งได้รับความเสียหายอย่างหนัก จึงจำเป็นต้องลงทุนเพื่อปรับปรุงซ่อมแซมโรงงานและเครื่องจักรเพื่อให้กลับมาผลิตได้อย่างเดิมในช่วงต้นปี ซึ่งเรื่องนี้ภาครัฐมีนโยบายส่งเสริมและช่วยเหลือฟื้นฟูภาคเอกชนไว้หลายมาตรการ และยังมีแรงสนับสนุนจากการเตรียมความพร้อมเพื่อรวมกลุ่มประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (AEC) ที่กำลังใกล้เข้ามา ซึ่งภาคเอกชนจะต้องเพิ่มความสามารถในการแข่งขัน เพื่อรองรับโอกาสในการขยายธุรกิจ ฐานลูกค้าออกไป สู่ตลาดใหม่ในประเทศเพื่อนบ้าน หรืออย่างน้อยก็ต้องปรับปรุงตนเองเพื่อความอยู่รอดของกิจการที่จะมีคู่แข่งจากประเทศเพื่อนบ้านที่แข็งแรงกว่าเข้ามาต่อสู้ด้วย สิ่งเหล่านี้ทำให้แนวโน้มการลงทุนของภาคเอกชนยังอยู่ในทิศทางที่จะเติบโตต่อเนื่อง ซึ่งรวมถึงการควบรวมและเข้าซื้อกิจการทั้งในประเทศและต่างประเทศเพื่อทำให้แข็งแกร่งขึ้น
นอกจากนี้ ภาครัฐก็ต้องมีแผนลงทุนจำนวนมหาศาลในโครงสร้างพื้นฐาน เพื่อป้องกันอุทกภัยในอนาคตอย่างบูรณาการทั้งประเทศ จึงจะช่วยเรียกความเชื่อมั่นจากนักลงทุนต่างชาติให้กลับคืนมาได้ ทั้งนี้ ตั้งแต่ผ่านพ้นวิกฤติต้มยำกุ้งมา การลงทุนของภาครัฐอยู่ในระดับต่ำเพียง 5-7% ของ GDP เท่านั้น ซึ่งในปีนี้น่าจะขยับขึ้นมาที่ระดับ 10 – 15% ของ GDP ได้ ดังนั้น การลงทุนของภาครัฐในปีนี้ จึงเป็นอีกหนึ่งปัจจัยสำคัญที่จะช่วยเสริมการเติบโตของเศรษฐกิจไทย
การส่งออกและนำเข้า เป็นส่วนที่จะได้รับผลกระทบโดยตรงจากการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลก โดยที่กว่าอุตสาหกรรมการผลิตของไทยจะมีกำลังการผลิตกลับมาในระดับเดิมได้ ก็ต้องใช้เวลาในการฟื้นฟูประมาณ 5-6 เดือน ดังนั้น การส่งออกในปี 2555 แม้จะยังคงมีแนวโน้มเติบโต แต่ก็จะโตในอัตราที่ชะลอตัวลงเมื่อเทียบกับปีก่อน อย่างไรก็ตาม ไทยได้ปรับตัวไว้รับการชะลอตัวของเศรษฐกิจของกลุ่มประเทศพัฒนาแล้วมาระยะหนึ่ง ด้วยการพึ่งพาการส่งออกไปยังกลุ่มอาเซียนและประเทศจีนเพิ่มขึ้น นอกจากนี้ สินค้าส่งออกของไทยจำนวนไม่น้อยเป็นสินค้ากลุ่มอาหาร จึงจะได้รับผลกระทบที่จำกัด เพราะเป็นสิ่งจำเป็นในชีวิตประจำวัน
ปี 2555 จึงเป็นอีกปีที่นักลงทุนจะพบกับความผันผวนอย่างมากของตลาดจากความไม่แน่นอนของโลก โดยจะมีข่าวสารเกี่ยวกับปัญหาหนี้สาธารณะของกลุ่มยูโร และตัวเลขการเติบโตทางเศรษฐกิจของสหรัฐฯ ที่อาจจะรักษาระดับการขยายตัวไว้ไม่ได้ มารบกวนอารมณ์ของผู้ลงทุนอยู่เนืองๆ
อย่างไรก็ดี ในช่วงต้นปีนี้ภาคเอกชนไทยยังอยู่ในช่วงของการฟื้นฟูบูรณะ ในขณะที่ภาครัฐกำลังจะมีข้อสรุปที่ชัดเจนเรื่องโครงการลงทุนขนาดใหญ่และแผนป้องกันอุทกภัยในอนาคต ซึ่งต้องเห็นผลชัดเจนก่อนเข้าฤดูฝนในปีนี้ และในครึ่งปีหลังจะเป็นช่วงที่ภาคอุตสาหกรรมกลับมาผลิตเต็มกำลังอีกครั้งหนึ่ง ซึ่งจะส่งผลให้ปีนี้เติบโตอย่างโดดเด่นในช่วงหลังของปี และในเมื่อการลงทุนของภาครัฐจะเป็นกุญแจสำคัญที่สุดของความสำเร็จ การเมืองจึงเป็นปัจจัยที่ต้องจับตามอง เพราะหากเกิดรุนแรงและชะงักงันขึ้นมา ก็จะกระทบต่อบรรยากาศของการลงทุนในปี 2555 ได้มาก
ที่มา กรุงเทพธุรกิจ
ติดตามข้อมูลข่าวสาร ได้ที่

เลือก ลงทุนได้ตามชอบ กับฮั่วเซ่งเฮง ได้แล้ววันนี้ กับกองทุนรวมหลากหลาย บลจ. ชั้นนำ เรามีผู้เชียวชาญให้คำปรึกษาอย่างมืออาชีพ โดยโปรโมชั่นจะเป็นไปตามเงื่อนไขของบลจ.ต่างๆ และสามารถซื้อขาย เพื่อเก็บคะแนนสะสมผ่านบัตรเครดิตได้ สนใจติดต่อ คุณเพชร 081 431 8949 หรือ 083 050 0766 อีเมล์ toucht@gmail.com
หมายเหตุ การลงทุนมีความเสี่ยงผู้ลงทุนควรศึกษาข้อมูล และข้อมูลภาษีก่อนการตัดสินใจลงทุน
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น